collaboration นี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งนึงแล้วในปี 2018 โดยใช้คอนเซ็ปต์หลักเป็นสายฟ้ามาทำรองเท้า

ซึ่งผลลัพธ์ของความร่วมมือตอนนั้นคือ โคตรดีแบบถล่มทลาย ขายหมด 1,800 คู่ ใน 3 วันแบรนด์ทั้งคู่ เชื่อว่าถ้าหนังภาคแรกมันประสบความสำเร็จขนาดนี้ แล้วทำไมภาคสองมันจะบูมไม่ได้ล่ะ เมื่อคิดเช่นนั้นเลยเป็นที่มีของการ collab ซ้ำ

แต่ทั้งสองแบรนด์ดันบ้าคลั่ง ลองเสี่ยงอีกสักตั้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่กล้าจนน่าชื่นชม…แต่ถ้ามองให้ลึกจริงๆ แล้ว
มันน่าจะเป็นการเน้นย้ำกลยุทธ์ที่สำคัญ 2 เรื่องมากกว่า คือ

 1. รองเท้าแกมโบล สามารถไปอยู่กับใครก็ได้ แม้แต่แบรนด์ฟุตบอล

 2. แกมโบลต้องการตอกย้ำไปที่เป้าหมายกลุ่มเดิม เพื่อให้ฐานแฟนของแบรนด์หนักแน่นขึ้น ( ไม่ต้องหาใหม่ แต่สร้างการจดจำแทน )

และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลหลัก ที่เราได้เห็นรองเท้า GAMBOL X BRUTD สุดเก๋าอันนี้ออกมาโลดแล่นในโลกของการตลาดอีกครั้งหนึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการ collab ที่แบรนด์ต้องหาจุดเหมือนกันให้ได้ก่อนซึ่งในโลกการตลาดเราจะเห็นหลายเคสที่พลาดสิ่งนี้ไป จนทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็น
ความร่วมมือที่ไม่มีแก่นที่ชัด

ซึ่งจุดยืนที่ แกมโบล และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เอามาเป็นแกนหลัก ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นการเชื่อมต่อกันด้วย ‘แฟชั่น’

รองเท้าแกมโบลเอง มีความหลากหลายของสินค้าอยู่แล้ว …และถ้าเคยเห็นโฆษณาหรือรูปในเฟสบุ๊คผ่านตา คงบอกได้เลยว่า แบรนด์นี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ของแฟชั่นอย่างชัดเจน ทั้งอาร์ตไดเรคชั่น และงานดีไซน์สินค้า

ในขณะเดียวกัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงจะเป็นแบรนด์ฟุตบอล แต่ก็มีแบรนด์ย่อยอย่าง BE BALLIN’ ที่คอยปรับรูปแบบสินค้ากีฬา
ให้กลายเป็นเครื่องแต่งกายแฟชั่นที่ทุกคนใส่ได้

และเมื่อมีจุดยืนเดียวกันคือ ‘แฟชั่น’ ตัวโฆษณาจึงแสดงตัวตนของความมีสไตล์ออกมาแบบชัดๆ บอกโต้งๆ เลยว่า “ฉันไม่ใช่สินค้าบ้านๆ ธรรรมดา แต่มีเอกลักษณ์มากพอที่คนใส่จะภูมิใจกับความสไตลิสนี้”

นอกจากนั้นแฟชั่นยังรวมไปถึงส่วนสำคัญนั่นคือ ตัวสินค้า หรือ ‘รองเท้า’ ที่จงใจเปลี่ยนทรงจาก slides (แบบสวม) มาเป็น หูหนีบ เพื่อให้คนเข้าถึงและแต่งตัวได้ง่ายและเท่ขึ้น ตามเทรนด์ในปี 2019 ได้ทัน แบบไม่อายใคร

ที่มา : https://www.facebook.com/adsperture/?epa=SEARCH_BOX